วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

สรุปบทเรียนวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา

 

สรุปเนื้อหารายวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา


สรุปเนื้อหา ของวันที่ 29 สิงหาคม 2558

เสนอ อาจารย์ภัทรดร  จั้นวันดี


 
           ผู้เรียน   นางสาวภัทรธิญา พลสุขรหัส 58723713228.                                                                           สรุปองค์ประกอบสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ อย่างน้อยต้องมีสิ่งต่อไปนี้
          1.  สาระสำคัญ
          2.  จุดประสงค์การเรียนรู้
          3.  สาระการเรียนรู้
          4.  กิจกรรมการเรียนรู้
          5.  สื่อ อุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้
          6.  การวัดและประเมินผล
7.  บันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้
  • แผนที่ดีที่สุด คือ แผนที่ใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนในโรงเรียนนั้นๆ
  • ใบงานคือสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากการจัดกิจกรรมในชั้นเรียน
  • ใบงานไม่ใช่สื่อ
  • วิเคราะห์ผู้เรียนใส่สมรรถนะ ด้าน


สมรรถนะผู้เรียน ด้าน
  1. ความสามารถในการสื่อสาร
  2. ความสามารถในการคิด
  3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
  4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
  5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
รายงานหน้าชั้นเรียน จำนวน กลุ่ม
  1. ASSURE Model
  2. Dick & Carey Model
  3. Gerlach & Ely Model
  4. KEMP Model
ASSURE Model






The ASSURE Model: รูปแบบการสอนเน้นการใช้สื่อและมีส่วนร่วม
ASSURE Model เป็นรูปแบบของการวางแผนหรือออกแบบการสอนโดยเน้นการใช้สื่อ และเทคโนโลยีเป็นองค์ประกอบ และเน้นการมีส่วนร่วมของผู้เรียนเป็นสำคัญ มีแผนการดังนี้
          1. วิเคราะห์ผู้เรียน (Analysis Learner)
          2. กำหนดวัตถุประสงค์ (States Objective)
          3. เลือกวิธีการ สื่อและวัสดุการเรียนการสอน(Select Method, Media and Materials)
          4. นำวิธีการและสื่อวัสดุไปใช้(Utilized Media and Materials)
          5. การมีส่วนร่วมของผู้เรียน (Require Learner Participation)
          6. การประเมินผล (Evaluation)
หลักการเลือกสื่อการเรียนการสอน
  1. เลือกสื่อการสอนที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้
  2. เลือกสื่อการสอนที่ตรงกับลักษณะของเนื้อหาของบทเรียน
  3. เลือกสื่อการสอนให้เหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียน
  4. เลือกสื่การสอนให้เหมาะสมกับจำนวนของผู้เรียนและกิจกรรมการเรียนการสอน
  5. เลือกสื่อการสอนที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
  6. เลือกสื่อการสอนที่มีลักษณะน่าสนใจและดึงดูดความสนใจ
  7. เลือกสื่อการสอนที่มีวิธีการใช้งาน เก็บรักาแปละบำรุงรักษา


การออกแบบสื่อการเรียนการสอน เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญต่อความสัมฤทธิ์ผลของแผนการสอนที่วางไว้ เป็รผลมาจากประเภท ลักษณะและความเหมาะสมของสื่อที่ใช้
การสร้างสื่อการเรียนการสอนจะต้องทำด้วยความรอบคอบ คำนึงถึงวิธีการของระบบ
การประเมินผลสื่อการเรียนการสอน เป็นการวัดผลสื่อการเรียนการสอนมาตีความหมาย และตัดสินคุณค่าเครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบคุณภาพสื่อการเรียนการสอน มี 2 แบบ คือ แบบทดสอบ เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสังเกต ผู้ตรวจสอบควรจะสังเกตและบันทึกการแสดงของสื่อ
ความสำคัญของสื่อการสอน


          สื่อจะเป็นตัวสำคัญที่นำเอาความรู้และประสบการณ์เข้าไปสู่การรับรู้ของผู้เรียน ในแนวคิดด้านเทคโนโลยีการศึกษาจะถือว่าสื่อการสอน คือ การทำให้ความเป็นนามธรรมไปสู่ความเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนได้สร้างแนวความคิดด้วยตนเอง และสามารถจดจำได้นาน

Dick & Carey Model
ระบบการสอนของดิคและคาเรย์(Dick and Carey. 1985)

ดิคและคาเรย์ (Dick and Carey) ได้เสนอรูปแบบระบบการสอนสรุปรวมได้                       
 3 องค์ประกอบคือ
      1.  กำหนดผล (จุดมุ่งหมายของการสอน
      2.  การพัฒนาการสอน
      3.  การประเมินการเรียนการสอน


จากองค์ประกอบหลักทั้ง 3 ประการนี้ ดิคและคาเรย์ ได้แบ่งกิจกรรมการจัดระบบการสอนออกเป็น 10 ขั้นดังนี้
               1. การกำหนดความมุ่งหมายการสอน (identify instructional goals)  เป็นการกำหนดความมุ่งหมายการสอน ซึ่งต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับความมุ่งหมายทางการศึกษา จากนั้นก็ทำการวิเคราะห์ความจำเป็น (need analysis) และ วิเคราะห์ผู้เรียน
               2. การวิเคราะห์การสอน(conduct instructional analysis) ขั้นตอนนี้อาจทำก่อนหรือหลังขั้นที่ 3 หรืออาจจะทำ ไปพร้อม ๆ กันก็ได้  การวิเคราะห์การสอนเป็นการวิเคราะห์ภารกิจ หรือวิเคราะห์ขั้นตอนการดำเนินการสอน ในเรื่องนี้ กาเย่ (Gagne. 1985) ได้เสนอแนะว่าการวิเคราะห์การสอนอีกลักษณะหนึ่งก็คือ information-processing analysis ตามแนวคิดของกาเย่นั้นเอง  ผลการวิเคราะห์การสอนที่ได้ จะเป็นการจัดหมวดหมู่ของภารกิจ(task classification) ตามลักษณะของจุดมุ่งหมายการสอน
               3. ศึกษาพฤติกรรมเบื้องต้นและคุณลักษณะของผู้เรียน(identify entry behaviors and characteristics) 
               4. เขียนจุดมุ่งหมายการเรียน (write performance objectives) ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายเฉพาะ หรือจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมและสอดคล้องกับความมุ่งหมายการสอน จุดมุ่งหมายการเรียน
               5. สร้างแบบทดสอบอิงเกณฑ์ (develop criterion referenced test) เพื่อประเมินการเรียนการสอน
               6. พัฒนายุทธศาสตร์การสอน (develop instructional strategy) เป็นแผนการสอน หรือเหตุการณ์การสอนที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามจุดมุ่งหมายของการสอน
               7. เลือกและพัฒนาวัสดุการเรียนการสอน (develop and select instructional materials) เป็นการเลือก และพัฒนาสื่อการสอนทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อโสตทัศน์
               8. ออกแบบและจัดการประเมินระหว่างเรียน (design and conduct summative evaluation) 
               9. ออกแบบและจัดการประเมินหลังเรียน (design and conduct summative evaluation) 
               10.แก้ไขปรับปรุงการสอน(revise instruction) เป็นขั้นการแก้ไขและปรับปรุงการสอน นับตั้งแต่ขั้นที่ 2   จนถึงขั้นที่ 8 

 Gerlach & Ely Model





รูปแบบการสอนของเกอลาช แอนด์เอลี (Gerlach and Ely Model)
รูปแบบการสอนของเกอลาช แอนด์ เอลี (Gerlach and Ely) ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้
สำหรับผู้เรียนตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงระดับ K-12 ในประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี คศ. 1980 แต่ก็ใช้ได้ผลดีสำหรับการศึกษาในระดับสูงกว่า เนื่องจากรูปแบบนี้ได้พิจารณาการกำหนดเวลาและเนื้อหาด้วย ประกอบด้วย 10 ขั้นตอน ดังนี้
1. รายละเอียดของเนื้อหา (Specification of Content) เป็นการพิจารณารายละเอียดของเนื้อหาบทเรียนทั้งหมดที่จะนำมาสร้างเป็นบทเรียน
2. รายละเอียดของวัตถุประสงค์ (Specification of Objectives) เป็นการพิจารณา
รายละเอียดของวัตถุประสงค์ ซึ่งทั้งวัตถุประสงค์และเนื้อหาบทเรียนจะต้องมีความสัมพันธ์และสอดคล้องกัน จึงอาจจะพิจารณาส่วนใดส่วนหนึ่งก่อนก็ได้หรืออาจจะพิจารณาพร้อม ๆ กันก็ได้ถ้ามีวัตถุประสงค์อยู่แล้ว ก็จะเป็นการพิจารณาความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์กับเนื้อหาบทเรียนแต่ถ้ายังขาดส่วนใดส่วนหนึ่ง ก็จะต้องวิเคราะห์ขึ้นใหม่ เพื่อให้วัตถุประสงค์สัมพันธ์และสอดคล้องกับเนื้อหาบทเรียน เพื่อจะได้นำไปใช้ในขั้นต่อไป ในส่วนนี้ เกอลาช แอนด์เอลีได้แบ่งวัตถุประสงค์ออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
2.1 วัตถุประสงค์ระยะยาว (Long Range Objective) หมายถึง วัตถุประสงค์ทั่ว ไป
2.2 วัตถุประสงค์ระยะสั้น (Short Range Objective) หมายถึง วัตถุประสงค์เฉพาะ
3. การประเมินพฤติกรรมของผู้เรียน (Assessment of Entering Behaviors) หมายถึงกระบวนการประเมินความรู้พื้น ฐานของผู้เรียนให้ผ่านตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่จะยอมรับได้ ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการเรียนการสอน การพิจารณาพฤติกรรมของผู้เรียน สามารถดำเนินการได้ดังนี้
3.1 การใช้บันทึกข้อมูลที่มีอยู่ (Use of Available Records) ได้แก่หลักฐานทางการ
ศึกษาวุฒิบัตร ประกาศนียบัตร และเอกสารอื่นๆ ที่อ้างอิงถึงความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ของผู้เรียน
3.2 แบบทดสอบที่ผู้สอนสร้างขึ้น (Teacher-designed Test) ได้แก่ แบบทดสอบ แบบ
ประเมิน แบบสัมภาษณ์ หรือ แบบสอบถาม ที่ผู้สอนสร้างขึ้น เพื่อใช้ประเมินความรู้ความสามารถของผู้เรียนในประเด็นที่ต้องการ เพื่อจะได้ทราบเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของผู้เรียน
4. กำหนดกลยุทธ์และเทคนิคการสอน (Determination of Strategy and Techniques)เป็นการกำหนดกลยุทธ์ในการนำเสนอบทเรียน รวมทั้งใช้เทคนิค ต่าง ๆ ในการนำเสนอ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ แบ่งออกได้ 2 วิธีการใหญ่ๆดังนี้
4.1 การบรรยาย (Expository Approach) เป็นวิธีการสอนแบบดั้งเดิมที่ผู้สอนมัก จะใช้
ตำรา หนังสือ สื่อ และประสบการณ์เช่น นำเสนอกับผู้เรียนกลุ่มใหญ่โดยการบรรยายหรือการ
อภิปราย โดยใช้วิธีการบรรยายโดยตรงหรือใช้วีดิทัศน์ถ่ายทอดการบรรยายระยะไกล
4.2 วิธีการสืบเสาะแสวงหาความรู้ (Inquiry Approach) วิธีการนี้บทบาทของผู้สอนจะ
ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยการใช้คำถามหรือสร้างเงื่อนไขให้ผู้เรียนได้เสาะแสวงหาคำตอบในการแก้ปัญหา โดยใช้ตำรา หนังสือ สื่อ หรือแหล่งความรู้อื่น ๆผู้เรียนจะต้องพยายามรวบรวมและจัดระบบข้อมูลด้วยตัวเอง (Active Participations) เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อสรุปที่นำไปใช้ในการเรียนการสอนได้
5. การจัดผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม (Organization of Students into Groups) เป็นการจัดแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามขนาดที่เหมาะสม โดยการเรียนร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หรือโดยการบรรยายเป็นกลุ่มใหญ่หรือจัดเป็นรายบุคคลระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนเท่านั้น ซึ่งควรจะพิจารณาวัตถุประสงค์ เนื้อหา วิธีการเรียน และการจัดกลุ่มผู้เรียนไปพร้อม ๆ กัน
6. การกำหนดเวลา (Allocation of Time) เป็นการกำหนดเวลาเรียนของบทเรียน โดยพิจารณาจากเนื้อหาวิชา วัตถุประสงค์ กิจกรรมการเรียน การบริหาร ความสามารถ และความสนใจของผู้เรียน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะนำมาใช้ในการพิจารณาแบ่งเวลาและกำหนดเวลาเรียนให้เหมาะสม
7. การกำหนดสถานที่เรียน (Allocation of Space) เป็นการจัดสถานที่เรียน ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของกลุ่มผู้เรียน และวิธีการเรียน ตามรูปแบบการสอนของเกอลาช แอนด์เอลีได้แบ่งขนาดของห้องเรียนออกได้ขนาด ดังนี้
7.1 ห้องเรียนสำหรับผู้เรียนกลุ่มใหญ่
7.2 ห้องเรียนสำหรับผู้เรียนกลุ่มเล็ก
7.3 ห้องเรียนสำหรับรายบุคคล
8. การเลือกแหล่งข้อมูล (Selection of Resources) เป็นการเลือกแหล่งข้อมูลที่ใช้ใน บทเรียน ได้แก่วัสดุการเรียน (Instructional Materials) และวัสดุสนับสนุนกิจกรรมการเรียน เช่นสื่อต่างๆ ทั้งที่มีอยู่และสื่อที่สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ ซึ่ง แบ่งออกเป็น 5 ประเภทดังนี้
8.1 วัสดุของจริงและบุคคล (Real Materials and People)
8.2 วัสดุทัศน์สำหรับฉาย (Visual Materials for Projection)
8.3 วัสดุเสียง (Audio Materials)
8.4 วัสดุสิ่งพิมพ์ (Printed Materials)
8.5 วัสดุสำหรับแสดง (Display Materials)
9. การประเมินผลการเรียนรู้ (Evaluation of Performance) ขั้นตอนนี้เป็นการประเมินผลพฤติกรรมของผู้เรียนที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนหรือระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนคนอื่น ๆ หรือระหว่างผู้เรียนกับบทเรียน เป็นต้น เพื่อสรุปการประเมินผลการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
10. การวิเคราะห์ข้อมูลย้อนกลับ (Analysis of Feedback) เป็นการวิเคราะห์ผลที่ได้จากการประเมินผลการเรียนรู้ในขั้นตอนที่ผ่านมา รวมถึงการใช้บทเรียนทั่ว ๆ ไป หลังจากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้ย้อนกลับไปปรับปรุง แก้ไขบทเรียนตั้ง แต่ขั้นตอนแรก เพื่อให้บทเรียนมีคุณภาพดียิ่งขึ้นสามารถนำไปใช้กับกลุ่มผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

KEMP Model






ระบบการสอนของ เจอโรลด์เคมป์(Jerrold Kemp Model) 
     เจอโรลด์ เคมป์ (Jerrold Kemp)  ได้พัฒนารูปแบบการสอนขึ้นในปี คศ. 1990 ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ซึ่ง พิจารณาจากองค์ประกอบเกี่ยวกับการเรียนการสอนอย่างครบถ้วน สามารถนำไปใช้ออกแบบและพัฒนาบทเรียนได้เป็นอย่างดี แม้ว่ารูปแบบการเรียนการสอนของเจอโรลด์เคมป์ จะดูเหมือนว่าค่อนข้างยุ่งยากกว่ารูปแบบการสอนอื่นๆ แต่ก็เป็นรูปแบบที่สมบูรณ์ ประกอบด้วยขั้นตอนหลัก 4 ระดับ ซึ่งแบ่งออกเป็น10 ขั้นตอนย่อย โดยพิจารณาจากวงรีส่วนในออกมาสู่ส่วนนอก ดังนี้
     1. ระดับในสุด เป็นองค์ประกอบทั่ว ๆ ไปของบทเรียนและผู้เรียน
     2. ระดับถัดออกมา ประกอบด้วย 9 ขั้นตอนย่อย
     3. ระดับที่สาม เป็น การปรับปรุง แก้ไขบทเรียน
     4. ระดับนอกสุด เป็นการประเมินผล ได้แก่ การประเมินผลระหว่างดำเนินการ และการประเมินผลสรุปรายละเอียดแต่ละขั้นตอนย่อย ๆ มีดังนี้
1. ความต้องการของผู้เรียน เป้าหมาย การเรียงลำดับ และข้อจำกัด (Learner Needs,Goal, Priorities, Constraints) เป็นส่วนที่พิจารณาเกี่ยวกับความต้องการ เป้าหมาย และข้อจำกัดหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ของผู้เรียนและการใช้บทเรียน นับว่าเป็นสิ่งสำคัญ ขั้นแรกของการเริ่มต้นในกระบวนการออกแบบระบบการสอนหรือบทเรียน จึงจัดอยู่ในศูนย์กลางของระบบและเป็นพื้นฐานของขั้นตอนย่อย ๆ ทั้ง 9 ขั้นตอน
2. คุณสมบัติของผู้เรียน (Learner Characteristics) เป็นการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เรียนที่จะเป็นผู้ใช้ระบบการสอนหรือบทเรียนที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วยการพิจารณาคุณสมบัติจำนวน 3 ด้าน ดังนี้
     2.1 คุณสมบัติทั่วๆ ไป (General Characteristics) เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา
     2.2 ความสามารถเฉพาะทาง (Specify Entry Competencies)
     2.3 รูปแบบการเรียนรู้ (Learning Styles) เช่น การใช้สื่อ และกิจกรรม เป็นต้น
3. เป้าหมายของงานที่ได้รับ (Job Outcomes Purpose) เป็นการพิจารณาเป้าหมายของงานที่ผู้เรียนจะได้รับหลังจบบทเรียนแล้ว เพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้งานต่อไป
4. การวิเคราะห์งานหรือภารกิจรายวิชา (Subject Task Analysis) เป็นการวิเคราะห์งานหรือ ภารกิจที่ผู้เรียนจะต้องแสดงออกในรูปของการกระทำที่วัดได้ หรือ สังเกตได้ การวิเคราะห์งานในขั้นตอนนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนต่างๆ ดังนี้
     4.1 เนื้อหาวิชาที่สอดคล้องกับปัญหาหรือความต้องการ
     4.2 ขั้นตอนการนำเสนอเนื้อหาบทเรียน
     4.3 แนวทางการออกแบบกลยุทธ์การเรียนการสอน
5. วัตถุประสงค์การเรียนรู้ (Learning Objectives) เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียน โดยพิจารณาจากผลของการวิเคราะห์งานที่ได้จากขั้นตอนที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการออกแบบบทเรียนและการประเมินผลบทเรียน วัตถุประสงค์ในขั้นตอนนี้ จะต้องครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน ได้แก่พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และเจตพิสัย
6. กิจกรรมการสอน (Teaching Activities) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนสอนในกระบวนการเรียนการสอน โดยพิจารณาผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบทเรียนและความสนใจของผู้เรียน นอกจากนี้การเลือกวัสดุและสื่อการสอน ก็จะต้องให้สอดคล้องกับกิจกรรมการสอนด้วยเช่นกัน
7. แหล่งทรัพยากรการเรียนการสอน (Instructional Resources) เป็นการพิจารณาเป็นการพิจารณาเลือกสื่อการเรียนการสอนจากแหล่งทรัพยากรต่างๆเพื่อช่วยสนับสนุนและส่งเสริมการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาจากผู้เรียนและสถานการณ์การเรียนการสอนเป็นสำคัญ
8. สิ่งสนับสนุนบริการ (Support Services) เป็นการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกในกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้การเรียนการสอนประสบความสำเร็จ เช่น สถานที่ สื่อ วัสดุ อุปกรณ์บุคลากและตารางเวลาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน
9. การประเมินผลการเรียนรู้ (Learning Evaluation) เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยการสร้างเครื่องมือวัดผลและดำเนินการวัดผล เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับข้อบกพร่องต่าง ๆ ของบทเรียนหรือระบบการสอนที่พัฒนาขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขบทเรียนต่อไป

10. การทดสอบก่อนบทเรียน (Pretesting) เป็นการทดสอบผู้เรียนก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์เดิม และพื้นฐานความรู้เพื่อแนะนำให้มีการเพิ่มเติมความรู้ใหม่ก่อนศึกษาบทเรียนหรืหาแนวทางช่วยเหลือผู้เรียนต่อไป